ราคาโกโก้ที่สูงขึ้น: ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอาหาร


ราคาโกโก้พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก สร้างความท้าทายที่สําคัญสําหรับทั้งผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอาหาร แต่อะไรอยู่เบื้องหลังวิกฤตนี้? ผู้ผลิตปรับตัวอย่างไร? และสิ่งนี้มีความหมายอย่างไร สําหรับผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตที่เราทุกคนชื่นชอบ? บทความนี้จะกล่าวถึงปัจจัยสําคัญที่ขับเคลื่อนวิกฤตโกโก้ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิต ตลอดถึงวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ในอุตสาหกรรม

ทําไมราคาโกโก้ถึงสูงขึ้น?

วิกฤตโกโก้ในปัจจุบันเกิดจากความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และจริยธรรมที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุปทานและต้นทุน

การผลิตโกโก้ที่ลดลง

ต้นโกโก้ที่มีอายุมาก จะให้ผลผลิตที่ลดลง และอัตราการปลูกซ้ำที่ช้าในภูมิภาคที่ผลิตโกโก้ ไม่สามารถมีผลผลิตตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ ปัญหาโรคหน่อบวมยังคงทําลายผลโกโก้อย่างต่อเนื่อง ทําให้อุปทานทั่วโลกลดลง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สภาพอากาศที่แปรปรวน กําลังส่งผลกับการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม ทําให้การผลผลิตโกโก้ไม่สามารถคาดเดาได้ ภัยแล้งที่ยืดเยื้อในภูมิภาคที่ผลิตโกโก้ที่สําคัญ เช่น กานาและโกตดิวัวร์ มีผลผลิตลดลง ในขณะที่กฎระเบียบการตัดไม้ทําลายป่าเข้มงวดมากขึ้น เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ก็จํากัดพื้นที่สําหรับการปลูกโกโก้ด้วยเช่นกัน

ข้อกังวลด้านจริยธรรมและความยั่งยืน

เกษตรกรผู้ปลูกโกโก้จำนวนมากได้รับค่าจ้างต่ำมาก ทำให้พวกเขาไม่สามารถลงทุนในแนวทางการเกษตรที่ยั่งยืนได้ ซึ่งทำให้ปัญหาผลผลิตตกต่ำลง นอกจากนี้ แนวทางปฏิบัติที่ผิดจริยธรรม เช่น การใช้แรงงานเด็กและการขุดเหมืองที่ผิดกฎหมาย ยังคงมีอยู่ในพื้นที่ปลูกโกโก้บางแห่ง ทำให้ความพยายามในการสร้างห่วงโซ่อุปทานโกโก้ที่ยั่งยืนและโปร่งใสมีความซับซ้อนมากขึ้น

กฎระเบียบใหม่

ในที่สุด กฎระเบียบใหม่ เช่น กฎระเบียบที่นำมาใช้ในยุโรป กำหนดให้ผู้ผลิตต้องจัดหาโกโก้ที่ “ไม่ทำลายป่า” แม้ว่ากฎระเบียบเหล่านี้จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ แต่กฎระเบียบเหล่านี้ก็เพิ่มความซับซ้อนและต้นทุนให้กับห่วงโซ่อุปทานของโกโก้
 
 

วิกฤตโกโก้ส่งผลต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตอย่างไร?

ผู้บริโภคได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาโกโก้ที่เพิ่มสูงขึ้น
ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2024 จำนวนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จากโกโก้เพิ่มขึ้นด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น 4.8% การเติบโตนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคยังคงต้องการรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของโกโก้

ยุโรปเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์จากโกโก้ โดยคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดในปี 2024 ในขณะเดียวกัน ภูมิภาคต่างๆ เช่น เอเชียแปซิฟิก ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ก็แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อเมริกาเหนือเป็นภูมิภาคเดียวที่จำนวนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์จากโกโก้ลดลงเล็กน้อย

ราคาโกโก้ที่พุ่งสูงขึ้น ผลักดันให้ผู้ผลิตต้องปรับตัว

ต้นทุนที่สูงขึ้นทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับราคาผลิตภัณฑ์ขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการของผู้บริโภคลดลง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตระดับพรีเมียม ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตบางรายอาจลดปริมาณโกโก้ในสูตรของตนเพื่อควบคุมต้นทุน แม้ว่าแนวทางนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อรสชาติและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าประจำเปลี่ยนใจได้
นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทาน การผลิตโกโก้ที่ลดลง ความกังวลด้านจริยธรรม และข้อกำหนดด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ทำให้การจัดหาโกโก้ที่มีคุณภาพดีเป็นเรื่องที่ยากขึ้น ความเสี่ยงที่ไม่สามารถหาโกโก้ได้ เป็นปัญหาสำคัญอย่างมากสำหรับบริษัทต่างๆ ที่ใช้โกโก้เป็นส่วนผสมหลัก
ความกดดันด้านจริยธรรมและความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น ผู้บริโภคต้องการความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการจัดหาโกโก้มากขึ้น ปัญหาต่างๆ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การใช้แรงงานเด็ก และเกษตรกรที่ได้รับค่าจ้างต่ำ อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของแบรนด์ได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ผลิตจะปรับตัวรับมือกับวิกฤติโกโก้ได้อย่างไร?

เมื่อเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ ผู้ผลิตอาหารต้องใช้กลยุทธ์ที่สร้างสรรค์เพื่อรับมือกับวิกฤตโกโก้ไปพร้อมๆ กับรักษาความไว้วางใจและความพึงพอใจของผู้บริโภคไว้

การลดปริมาณโกโก้เพื่อลดต้นทุน

แนวทางหนึ่งคือการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพ บริษัทบางแห่งลดปริมาณโกโก้ในสูตรของตนหรือลดขนาดผลิตภัณฑ์โดยยังคงรักษาระดับราคาไว้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า Shrinkflation แม้ว่าจะได้ผล แต่กลยุทธ์นี้ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใสเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากผู้บริโภค

เปลี่ยนไปยังทางเลือกอื่น

วิธีแก้ปัญหาอีกวิธีหนึ่งคือการพิจารณาทางเลือกอื่นทดแทนโกโก้ ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตสามารถใช้ส่วนผสมสารสกัดจากยีสต์เพื่อทดแทนผงโกโก้ได้มากถึง 40% โดยไม่ทำให้รสชาติและเนื้อสัมผัสลดลง ทางเลือกอื่นๆ เช่น สารทดแทนเนยโกโก้หรือโปรตีนจากพืชมีประโยชน์ทางการทำงาน แต่ต้องมีการกำหนดสูตรอย่างระมัดระวังเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยังคงมีความน่าสนใจ

การสร้างคุณค่าใหม่ให้กับผู้บริโภค

สุดท้ายนี้ ผู้ผลิตสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าใหม่ให้กับผู้บริโภคได้ โดยการเน้นย้ำถึงความยั่งยืน ประโยชน์ต่อสุขภาพ และคุณภาพระดับพรีเมียม พวกเขาสามารถปรับราคาที่สูงขึ้นและยังสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับลูกค้าได้ การบอกถึงรายละเอียดในการจัดหาที่ถูกต้องตามจริยธรรม ตลอดถึงความโปร่งใส และความพยายามในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ยังสามารถเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ได้อีกด้วย

Biospringer โดย Lesaffre นำเสนอโซลูชันระดับพรีเมียมสำหรับการลดปริมาณโกโก้ด้วยส่วนผสมสารสกัดจากยีสต์

เนื่องจากราคาโกโก้ที่สูงขึ้น สารสกัดจากยีสต์จึงเป็นทางเลือกที่ดีและคุ้มค่า สำหรับผู้ผลิตอาหาร การใช้วัตถุดิบนี้ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถลดการใช้ผงโกโก้ได้มากถึง 40% โดยไม่กระทบต่อรสชาติและสีสัน
ต่างจากส่วนผสมทดแทนอื่นๆ สารสกัดจากยีสต์ให้รสชาติโกโก้ที่สะอาดและเข้มข้นโดยไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้สัมผัสถึงความสม่ำเสมอด้านรสชาติและเหนือระดับ ส่วนผสมนี้ผลิตขึ้นโดยการหมักตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้พื้นที่เพาะปลูก ทำให้เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและมีจริยธรรม
ผู้ผลิตสามารถลดต้นทุน รักษาสถานะฉลากสะอาด และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสำหรับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยการผสานสารสกัดจากยีสต์ โซลูชันนี้เปิดทางให้ผู้ผลิตสามารถฝ่าฟันวิกฤตโกโก้ไปพร้อมกับสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้


 
     
About Biospringer

          History
Connect with us

          Contact us
          LinkedIn
          YouTube